วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

Thai Trade Contest

ดีใจจังงงงงง อาจารย์เปิด Thai Trade Contest ใหม่ให้กับ นร ที่ไม่ผ่าน Final Test   จริงๆถึงไม่ได้เปิดก็กะว่าจะต้องตั้งใจทำใหม่ให้ได้อยู่ดี  แต่มี Thai Trade Contest นี้ก็ดีมากๆเลย เพราะทำให้มีสีสันและมีรางวัลที่ทุกคนอยากได้มากๆๆๆๆเลยด้วย เพราะได้เรียนฟรีตลอดปี 2014 เลย

วันนี้เป็นวันเริ่มวันแรก สร้างพอร์ตใหม่เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็คือตั้งใจทำให้เต็มที่ พอร์ตนี้ถึงไม่ได้ที่ 1 ไม่ได้รางวัลแต่ก็ตั้งใจว่าต้องสร้าง cash flow ทำกำไร รักษากำไรให้ได้ต่อเนื่อง

แล้วจะมาเขียนบล็อคคอยรายงานผลการเทรดในแต่ละวัน ^^

Thai Trade Contest

เงื่อนไข:
  • บช ทุนขนาด $500 leverage 1:100
  • เทรดสูงสุด 10 order/day (order ละ 0.1 ไม่เกิน 0.3)
  • สินค้าเทรด forex, CFD, Gold, Oil (เลือก 1 สินค้าห้ามสลับไปมา)
  • สร้าง cash flow มากกว่าสัปดาห์ละ $15 (3%จาก$500)
  • ห้ามใช้ EA หรือ Robot
  • Drawdown รวมไม่เกิน 40% ใน 1 เดือน
  • % Growth > 10%ใน 1 เดือน
  • ระยะเวลาแข่งขัน 1 เดือน 01.10.2013 - 01.11.2013


ผลการตัดสิน: equity สูงสุด

รางวัล: ที่ 1 เงินรางวัล $400 + คอร์สอบรมฟรี 1 ที่ของ cway ตลอดปี 2014 (ห้ามโอนสิทธิ์)


วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

Howework 9 - ทฤษฎีความน่าจะเป็นกับระบบเทรด

1.     ทำการทดลองตามหลักความน่าจะเป็นเพื่อทสอบผล ระบบเทรด “flip coin trading system”
·         ทดลองใช้ผลการสุ่ม การเข้าออร์เดอร์จากการ โยนเหรียญ
กรณีเหรียญออก “หัว”  ให้เปิด
Buy หรือ Long
กรณีเหรียญออก “ก้อย” ให้เปิด Sell  หรือ Short
·         โดยให้เปิดสถานะทีละ 1 order จำนวน 0.1 สัญญาเท่านั้น
·         ปิดสถานะเมื่อถือครบ 5 นาที  จากนั้นรออีก 5 นาทีเพื่อโยนเหรียญ และเปิดสถานะต่อไป
·         ทดลองในสินค้าอะไรก็ได้ บนกราฟราคา Timeframe 5 นาที
·         ทำทั้งสิ้น 10 ครั้ง สรุปผลที่ได้ %Win, %Loss, MaxLoss, MaxWin, Profit

2.       ทำการทดลองตามหลักความน่าจะเป็นเพื่อทดสอบผล ระบบเทรด “flip coin trading system with MM”
·         ให้ผู้เรียนทดลองใช้ผลการสุ่มการเข้าออร์เดอร์จากการ โยนเหรียญ
กรณีเหรียญออก “หัว”  ให้เปิด
Buy หรือ Long
กรณีเหรียญออก “ก้อย” ให้เปิด Sell  หรือ Short
·         โดยให้เปิดสถานะทีละ 1 order จำนวน 0.1 สัญญาเท่านั้น
·         ทดลองในสินค้าอะไรก็ได้ บนกราฟราคา Timeframe 5 นาที
·         ใช้ Money Management โดยตั้ง SL ที่ 5 pip และตั้ง TP ที่ 10pip กรณีที่คั้งก่อนหน้าชนะ ให้เพิ่ม lot อีก 1 เท่า โดยเพิ่มจาก 0.1 เป็น 0.2 หรือ 0.2 เป็น 0.3 กรณีแพ้ขาดทุนให้กลับมาเริ่มที่ 0.1 ใหม่เสมอ
·         ปิดสถานะ จากนั้นรออีก 5 นาทีเพื่อโยนเหรียญ และเปิดสถานะต่อไป
·         ทำทั้งสิ้น 20 ครั้ง สรุปผลที่ได้ %Win, %Loss, MaxLoss, MaxWin, Profit

3.       จงอธิบายเรื่องหลักความน่าจะเป็น (Probability) กับผลที่ได้จากการเทรดด้วยระบบเทรด

·         อภิปรายพิจารณาจาก %Win และ %Loss ที่เกิดของระบบที่ท่านได้ทำการทดสอบในการทดลองก่อนหน้า

ผลการทดสอบ
1
2
%Win
0%
15%
%Loss
100%
85%
Max Loss
-10
-30
Max Win
N/A
30
Profit
-57.7
-255

ผลการทดสอบออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจทั้ง 2 การทดลองเลย  โดยการทดลองแบบที่ 1 นั้น  ไม่ชนะเลยตลอดทั้ง 10 ครั้ง  ส่วนการทดสอบที่ 2 %Win ก็ต่ำเพียง 15% และไม่มี Consecutive win ได้เลย ทำให้การเพิ่ม Lot ก็ไม่ช่วยให้ทำกำไรได้มากขึ้น  แต่กลายเป็นทำให้เสียกำไรที่ได้มากลับคืนไปเลย 

จากที่สังเกตุการเข้าออเดอร์  บางครั้งเข้าได้ถูกทาง แต่โดนกิน SL หรือไม่ก็ TP มากเกินไปราคาวิ่งไปเกือบถึงแต่ไม่ถึง  สุดท้ายกลับมาโดนกิน SL อยู่ดี  สรุปว่าการโยนเหรียญเข้าออเดอร์  ความน่าจะเป็นมีเพียง 50/50  แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เราได้ %Win =50  เพราะการเข้าออเดอร์ยังต้องคำนึงถึงจังหวะการเข้า  การตั้ง TP และ SL ที่เหมาะสม   การที่เราใช้โยนเหรียญและเข้าออเดอร์เลยโดยไม่ได้ดูจังหวะการเข้า  ถ้าเข้าคร่อมจังหวะก็จะทำให้ความน่าจะเป็นในการ Win ของออเดอร์นั้นลดต่ำลงไปอีก   การใช้ MM นั้นช่วยได้ส่วนนึง  แต่ถ้าเราสามารถปรับปรุงการเข้าออเดอร์เพื่อให้ได้ %Win ที่ดีขึ้น และมี Consecutive Win มากขึ้นก็คงจะทำให้ผลลัพธ์ของการทดสอบที่ 2 ออกมาได้ดีมากขึ้นเลยทีเดียว

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

Trading Diary, Tue 24 Sep 13....A Good Start :)

1. เหตุผลการซื้อขาย
  • Sto MTF
2. รายละเอียด 
Product: Gold
Lot Size: 0.1
TF: M5
Sell
Target = 300
SL 150
Entry: 1316.42
Exit: 1315.90

Today Profit: $5.2 (52pips)

3. สภาวะอารมณ์ 
วันนี้เริ่มต้นเทรดพอร์ตใหม่วันแรก รู้สึกพร้อมและตั้งใจเต็มที่ที่จะต้องทำพอร์ตนี้ให้สำเร็จตามเป้าหมาย  แต่ไม่มีเวลาเทรดเลยจนถึงดึก  นั่งรอจังหวะจนได้เข้าตอนประมาณ 5 ทุ่ม  ก่อนหน้านั้นราคาลงไปแล้วแต่เข้าไม่ทันเลยต้องรอจังหวะพักตัวแล้วเข้า

4. ความผิดพลาดและอุปสรรค
เข้าซื้อตอนดึกไปหน่อย ราคาเลยขยับไม่ค่อยมาก วิ่งไปถึง +$10 กว่าแล้ว  ก็เลยรีบตั้ง Trailing Stop ล็อคกำไร $5 ตามเป้าหมายวันไว้ก่อน  สรุปก็เลยได้ $5 มาก่อน  จะรอจังหวะเข้าอีกก็ไม่มั่นใจเพราะเริ่มดึกมากแล้ว  กลัวราคาไม่ขยับไปไหนและไม่อยากถือออเดอร์ค้างด้วย  หลังจากประเมินความเสี่ยงแล้วเลยหยุด  พอแล้วดีกว่าสำหรับวันนี้เพราะเก็บเป้าหมายได้แล้ว  พรุ่งนี้ค่อยมาลุยใหม่ ^^

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

Start Over!

พอร์ตแรกระเบิดไปแล้ว แต่เราก็ต้องสู้ต่อไป เรียนรู้สิ่งผิดพลาด และเริ่มต้นใหม่ ต้องทำให้ได้ เพราะถ้าพอร์ตเดโม่นี้ยังไม่สำเร็จ และยังสอบไม่ผ่าน  ยังทำผิดซ้ำซากไม่มีวินัยเหมือนเดิมอยู่ได้  เราก็คงไม่สามารถเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จได้แน่นอน

ก่อนจะเริ่มต้นพอร์ตใหม่  ก็อยากจะวิเคราะห์สรุปการเทรดของพอร์ตเก่าดูซะหน่อย  เพื่อเป็นการตอกย้ำความผิดพลาดให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น  พอร์ตใหม่จะได้วางแผนและอย่าทำซ้ำอีก!

สรุปพอร์ตเก่า










Profit factor = 0.69 ไม่ดี ได้ต่ำกว่า 1 แสดงให้เห็นว่าส่วนของขาดทุนมากกว่าส่วนของกำไร
Expectancy = 2.3 Pips / -$12.52 ได้ค่าติดลบ  แสดงว่าไม่มีความสามารถในการทำกำไร
Maximum Drawdown ไม่ได้แสดงในรูปด้านบน  แต่แน่นอนว่านี่เป็นจุดอ่อนที่สุด  เพราะไม่ได้ใช้ SL ในการจำกัดความเสี่ยงจนทำให้พอร์ตระเบิดไปเลย
Sharpe Ratio = -0.08 แสดงให้เห็นว่าระบบไม่มีความสามารถในการอยู่รอด

%Win > 60% และค่าใกล้เคียงกันทั้งหน้า Long และ Short 


จริงๆแล้วระบบคงไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะ %Win ยังอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้  แต่จุดบอด จุดอ่อน และข้อผิดพลาดที่ทำให้เกิดความเสียหายที่สุดเกิดจากการไม่ Limit Risk เกิดจากการขาดวินัยของเราเอง  เพราะฉะนั้นคิดว่าในพอร์ตใหม่ก็จะยังทดลองใช้ระบบเดิม  แต่สิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขคือเรื่องจิตวิทยาการและวินัยในการเทรดของเราเอง




วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

Homework 8 - การประเมินระบบ

 อธิบายโมเดลการประเมินระบบ อธิบายรายละเอียดพอสังเขปและบอกวิธีการใช้งานของโมเดลต่างๆ

หมวด Performance:
Profit Factor = Gross Profit / Gross Loss
จะเน้นส่วนของ Profit เป็นหลัก ใช้วัดค่าระบบว่ามีศักยภาพในการทำกำไรได้มากแค่ไหน โดยผลลัพธ์ควรจะมากกว่า 1 จึงแสดงว่าระบบมีความสามารถในการทำกำไรได้ ถ้าต่ำกว่า 1 ไม่ดีเพราะหมายถึงส่วนขาดทุนยังมากเกินไปเมื่อเทียบกับส่วนของกำไร แสดงว่าระบบมีปัญหาในการทำให้ขาดทุนที่มากอยู่

Expectancy = (Profit Trades/Total Trades) * (Gross Profit/Profit Trades) – (Loss Trades/Total Trades) * (Gross Loss/Loss Trades)
แสดงดึงศักยภาพในการทำเงินทำกำไรของระบบ ถ้าค่าเป็นบวกและยิ่งมากยิ่งดีเพราะจะแสดงถึงศักยภาพที่ดีในการทำกำไรของระบบ

หมวด Risk: ยิ่งวิเคราะห์ส่วนนี้ได้ดีจะทำให้เห็นถึงความเสี่ยงของระบบ เห็นจุดอันตรายที่ซ่อนอยู่
Maximum Drawdown = Max of (Maximal Peak – next Minimal Peak)
เป็นการวัดค่า Drawdown โดยวัดจากจุดสูงสุดลบกับจุดต่ำสุด โดยมีสูตรคำนวน ค่าจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตลอดการเทรด  ยิ่งระบบมีความผันผวนมากก็จะมีค่า Maximum Drawdown มาก  ถ้าค่ายิ่งสูงแสดงว่ามีจุดบอดจุดอ่อนของระบบและมีความเสี่ยงมากอาจเกิดการเสียหายหนักๆได้ ควรทำระบบให้มีค่า Drawdown ให้ต่ำที่สุดเพื่อควบคุมความเสี่ยง วิธีนึงที่ใช้ได้ผลดีคือการใช้ SL มาช่วยจำกัด Drawdown

Indicator: เป็นดัชนีที่ใช้วัดศักยภาพวัดคุณภาพระบบ ใช้สมการโมเดลทางคณิตศาสตร์ และใช้เป็นตัวอ้างอิงในการเปรียบเทียบระหว่างระบบได้

Standard Deviation คือการคำนวนค่ากลาง เพื่อเป็นตัวแทนของกลุ่มประชากร ค่า Standard Deviation ถ้ายิ่งเกาะกลุ่มกันแคบๆจะยิ่งดีแสดงถึงความแม่นยำ  แต่ถ้าค่ากระจายกันกว้างแปลว่าไม่แน่นอนบางจุดได้กำไรมากบางจุดได้กำไรน้อย

Sharpe Ratio = (Average Annual Return – Risk Free Rate)/Standard Deviation of Returns
(ผลตอบแทนเฉลี่ย – Risk Free Rate หรืออัตราเงินเฟ้อถ้าเป็นพอร์ตลงทุน หรือใช้ค่า = 0 ถ้าเช็คใน system / ค่าเฉลี่ยต่อจำนวน returns ที่เราเปรียบเทียบ เช่นค่าเฉลี่ยต่อไม้ต่อออเดอร์ก็ได้
ใช้ในการดูและปรับแก้ความเสี่ยง โดยมีสูตรคำนวณ Sharpe ratio  อาจคำนวนเป็นปี เป็นรายเดือนหรือเป็น Quarter ก็ได้  เป็นการเอากำไรที่เกิดขึ้นมาเทียบกับกำไรในแต่ละไม้  โดยถ้าค่า Sharpe Ratio > 1 จะยิ่งดี  แต่ถ้า < 1 และเข้าใกล้ 0 คือยิ่งแย่  ระบบที่มีค่า Sharpe Ratio สูงๆก็จะคาดหวังได้ว่าระบบจะสามารถอยู่รอดและทำกำไรได้

Z-Score คือการเอาข้อมูลมาคำนวนการเบี่ยงเบน คำนวนการเคลื่อนตัว  ใช้วัดตัว dependency หรือการกระจายตัวอิสระ การเคลื่อนตัว  โดยในระบบเทรดใช้ Z-Score มาวัดการสร้างกำไร หรือการขาดทุน หรือวัดเรื่องความสามารถในการรับมือความเสี่ยงก็ได้  ที่นิยมใช้คือเอากำไรมาวัด Z-Score
ถ้าค่า Z-Score <= -2 แสดงการเกิด positive dependence โดยหมายถึงว่าระบบมีโอกาสในการเคลื่อนตัวไปตามกัน เช่น ถ้าครั้งแรกมีกำไร ครั้งต่อไปก็มีโอกาสในการกำไรต่อได้อีก หรือถ้าครั้งแรกขาดทุน ครั้งต่อไปก็มีโอกาสขาดทุนต่อไปได้อีก  ในทางกลับกันถ้าค่า Z-Score >= +2 แสดงการเกิด negative dependence เป็นการกระจายตัวแบบเชิงลบ เช่นเกิดขาดทุนสลับการทำกำไร  ในการทำระบบไม่นิยมให้เกิด negative dependence เพราะมีผลต่อ consecutive win ทำให้ net profit ออกมาไม่ค่อยดีได้

AHPR หรือ Average Holding Period Return คือช่วงเวลาในการถือครองแล้วเกิดผลกำไร  หาค่าเฉลี่ยของการสร้าง Return จากจำนวนผลการเทรด อาจใช้คำนวนเปรียบเทียบรายเดือน รายครึ่งปี หรือรายปีก็ได้

GHPR หรือ Geometric Average Holding Period Return พัฒนาต่อเนื่องจากข้อจำกัดของ AHPR โดยดูจาก Balance หรือเงินจริง

 วิเคราะห์ระบบเทรดทั้ง 4 ระบบที่ใช้กลยุทธ์แบบ Swing Trade โดยวิเคราะห์ อภิปราย เปรียบเทียบ ระหว่างระบบแบบต่างๆทั้ง 4 เพื่อหาระบบที่ดีที่สุด 1 ระบบ พร้อมทั้งแจกแจง จุดแข็ง จุดอ่อน ของระบบที่เลือกว่าดีที่สุด


หลังจากศึกษาข้อมูลในตารางและวิเคราะห์ดูแล้ว  ได้เลือกระบบ S001 เนื่องจากเปรียบเทียบกับระบบทั้งหมดแล้ว ถึงแม้ว่าจุดอ่อนของระบบ S001 คือการมี %Gain ที่ต่ำที่สุดเทียบกับอีก 3 ระบบ แต่ระบบ S001 ก็มีจุดแข็งมากกว่าระบบอื่นๆหลายข้อดังนี้:
  • ·       จำนวนการ Trade ของ S001 ไม่น้อยเกินไป  ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับ S002 จะเห็นว่า S002 ทำกำไรได้มากสุดก็จริงๆแต่เกิดจากจำนวนการเทรดเพียง 8 ครั้ง  ซึ่งหมายความว่าข้อมูลในการทดสอบระบบยังไม่มากพอ
  • ·         % Drawdown คือจุดแข็งของ S001 เนื่องจากมีค่าน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับระบบทั้งหมด  และนี่เป็นเหตุผลหลักสำคัญในการเลือกระบบ S001 และจุดอ่อนอีกข้อของ S002 คือการมี Drawdown ที่สูงที่สุด ทำให้เป็นระบบที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด
  • ·         Profit factor ของ S001 > 1 และมากกว่า S003 และ S004
  • ·         Sharpe Ratio สูงกว่า S003 และ S004
  • ·         Expectancy ของ S001 มีค่าเป็นบวก แต่ยังไม่มากเท่าไหร่นัก โดยอยู่ในลำดับ 3 เมื่อเทียบกับทุกระบบ
  • ·         AHPR มีค่าที่ใกล้เคียงกันกับ S003 และ S004


Trading Diary - 16 to 18 Sep 13...บันทึกวันพอร์ตระเบิด!!!

1. เหตุผลการซื้อขาย
  • Sto MTF
2. รายละเอียด 
Product: Gold
Lot Size: 0.1

Mon, 16 Sep 13 = +$13.90 (139pips)
Tue, 10 Sep 13 = +$33.80 (338pips)
Wed, 11 Sep 13 ก่อน QE = +$41.30 (413pips)  หลัง QE = -$425.7 (4257pips)


3. สภาวะอารมณ์ และข้อผิดพลาด 
สัปดาห์นี้วางแผนว่าจะพยายามค่อยๆกู้พอร์ตคืนมาให้ได้ ถึงแม้ equity จะลดลงไปเหลือแค่ $300 กว่าแล้วก็ตาม  ก็คิดว่าจะทำให้ดีที่สุด ต้นสัปดาห์จันทร์ อังคาร ก็ทำได้พอใช้อยู่ปิดบวกได้ทุกวัน  จนถึงวันพุธจริงๆแล้วทำกำไรได้ค่อนข้างมากอยู่แล้วในวันนั้น  แต่พอหลังจากประกาศ QE แล้วกราฟเหวี่ยงไปอีกทางอย่างแรงทางตรงกันข้ามกับ position ที่เราเปิดอยู่โดยไม่มี SL ณ จุดนั้นทำให้ตัดสินใจพลาดอย่างที่สุด  และทำให้พอร์ตระเบิดโดนปิดไปออเดอร์ไปเองเลย T T

หลังจากพอร์ตระเบิดวันพุธเลยเศร้าซึมและผิดหวังกับความผิดพลาดเดิมๆของตัวเอง  ไว้อาลัยให้พอร์ต ไม่ได้เทรดต่อเลยในวันพฤหัสศุกร์  รู้สึกแย่กับตัวเองมากๆเพราะทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าจะมีประกาศ QE แต่ ณ ตอนนั้นมัวแต่เทรดเพลินเพราะวันนั้นได้มาเรื่อยๆ  พอใกล้จะประกาศ QE คิดว่าราคาจะลงเลยเปิด S โดยได้มา 2-3 ครั้งติดกัน แต่โดน Trailing Stop หรือได้กำไรน้อยลง  ทำให้พยายามเข้าออเดอร์ต่อเพราะเหมือนมั่นใจว่าใช่ๆๆมันจะต้องลงสิ  นี่แค่เหวี่ยงเยอะเลยมาโดน Trailing Stop ของเรา ถ้าไม่เข้าอีกเดี๋ยวจะตกรถ  พอไม้สุดท้ายนั้นจำได้เลยว่าเข้าออเดอร์ไปแล้วก็ไม่ได้ตั้ง SL ในทันที  แต่สิ่งที่ทำคือนั่งรอเพื่อมีกำไรแล้วจะเริ่มตั้ง Trailing Stop ล็อคกำไร  และรู้สึกว่าพอมีกำไรแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมตั้ง TS เพราะนึกถึง 2-3 ไม้ที่ผ่านมาว่าถ้าตั้งเร็วไปเดี๋ยวโดนกลับมากินอีก...พอเหตุการณ์ผ่านไป และมานั่งทบทวนดูแล้ว  ทุกอย่างเป็นเรื่องของการคาดเดาและคิดไปเองทั้งนั้น  ประมาทไม่ยอมตั้ง SL ไม่คิดถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเลยว่ามันจะเสียหายหนักขนาดไหน มันคุ้มกันรึเปล่า!

สรุปการเทรดทั้งสัปดาห์จนพอร์ตระเบิด!



วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

Mistake and Obstacle - 9 to 13 Sep 13

4. ความผิดพลาดและอุปสรรค
  • ปัญหาหลักสำหรับความผิดพลาดในสัปดาห์นี้คือการใช้กลยุทธ์ผิดประเภท ไม่เหมาะสมกับพฤติกรรมราคา ใช้ Swing Trade เหมือนเดิมทั้งๆที่ราคาเป็น Trend แล้วชัดเจน  
  • ใช้กลยุทธ์ผิดประเภทแล้วยังไปแก้ค่า TP / SL  โดยเพิ่ม TP เพราะอยากได้กำไรมากขึ้นมา cover ส่วนที่เสียไปเร็วๆ  และมีการเพิ่ม SL เพราะกลัวว่าค่าที่ตั้งจะน้อยไปแล้วจะโดนราคาเหวี่ยงมากิน SL ฟรีๆแล้วราคาถึงไปต่อ  แต่ผลปรากฏว่ากลับเป็นการทำให้เสียหายมากขึ้นไปอีก
  • ไม่มีการเตรียมกลยุทธ์การเทรดสำรองสำหรับ Trend Following 
  • กำหนด SL / TP ไม่เหมาะสม จากผลสรุปการเทรดทั้งสัปดาห์ข้างล่างจะเห็นได้ว่า %Win ที่ 57% แต่ปัญหาคือไม้ที่กำไรได้น้อยโดยมี Avergae Profit Trade = $9.84 เท่านั้น  ในขณะที่ Avergage Loss Trade กลับสูงถึง -$54
  • อยากได้คืนเร็วๆ ทำให้โลภและคาดหวังกำไรก้อนโต ทำให้วาง SL / TP ไม่เหมาะสม กลายเป็นไม้ที่พอมีกำไรก็รีบ Trailing Stop ให้เสียกำไรไปหรือกลับมาขาดทุน  
  • ความกลัวจากการเสียหลายๆไม้หลายๆวันติดกัน ทำให้ขาดความมั่นใจ ทนแรงเหวี่ยงไม่ไหวพอกำไรก็รีบออกทั้งๆที่ราคากลับไปต่อ  
สรุปการเทรดทั้งสัปดาห์ 


Port Summary @14 Sep 13


Trading Diary - 9 to 13 Sep 13

1. เหตุผลการซื้อขาย
  • Sto MTF
2. รายละเอียด 
Product: Gold
Lot Size: 0.1

Mon, 9 Sep 13 = +$3.70 (37pips)


Tue, 10 Sep 13 = -$126.05 (1261pips)


Wed, 11 Sep 13 -$17 (170pips)


Thu, 12 Sep 13 -$25.5 (255pips)


Fri, 13 Sep 13 -$104.7 (1047pips)





3. สภาวะอารมณ์ 
สัปดาห์นี้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะเก็บรักษากำไรที่ทำไว้จากสัปดาห์ที่แล้วให้ได้  เป้าหมายก็คือแค่สร้าง cashflow เพิ่มให้ได้อีก $15 สำหรับทั้งสัปดาห์  เทรดวันแรกวันจันทร์กำไรมาได้เกือบ $4 แต่พอวันอังคารเสียหนัก $126 คืนกำไรที่ได้มาไปหมดเลย  เริ่มกดดันและพยายามเอาคืนในวันต่อๆไป แต่ก็ไม่สำเร็จ เทรดเสียทุกวันเลยที่เหลือ ยิ่งใกล้หมดสัปดาห์ก็ยิ่งกดดันเพราะรู้สึกอยากเก็บเป้าหมายคืนมาให้ได้ คิดว่าถ้าเทรดถูกทางและ let profit run ได้ซักไม้ก็อาจจะได้เป้าหมายคืนมาได้  แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ทำให้ต้องมาทบทวนความผิดพลาดและวางแผนการเทรดใหม่ในวันเสาร์อาทิตย์